“แดดเมืองไทยนี่มันช่างทำร้ายกันเสียเหลือเกิน
ไหนจะต้องใส่แขนยาวทั้งที่อากาศก็ร้อน ไหนจะต้องใส่หมวกถือร่มอีก
แล้ววันนี้จะไปเลือกซื้อครีมกันแดดด้วย แต่ค่า SPF กับ
PA ที่โฆษณาคืออะไรนะ? ต้องใช้ที่มีค่าสูง
ๆ ไว้ก่อนถึงจะดีหรือเปล่า? ” วันนี้เรามีคำตอบมาให้ค่ะ
ฉลากบนผลิตภัณฑ์กันแดดส่วนมากจะระบุค่า SPF กับ
PA ไว้หลากหลายแบบ
เพื่อให้เราเลือกใช้ให้ตรงกับความต้องการ โดย SPF หรือ
Sun Protection Factor เป็นค่าการป้องกัน UVB ที่บอกให้ทราบว่า
เราจะอยู่กลางแสงแดดได้นานเท่าใดโดยที่ผิวของเราไม่ไหม้ หากยกตัวอย่างให้เห็นภาพชัด
ๆ เช่น ถ้าเราอยู่กลางแสงแดด 10 นาที แล้วผิวของเราเริ่มแดงไหม้
นั่นคือผิวเราทนได้แค่ 10 นาที หากทากันแดดที่มี SPF15
ผิวเราจะทนแดดได้นาน 10x15 = 150 นาที หรือประมาณ 2 ชั่วโมงครึ่ง
โดยที่ผิวไม่แดงไหม้นั่นเอง และหากจะเทียบค่า SPF กับปริมาณการดูดซับรังสี
UVB พบว่า
ค่า SPF เท่ากับ
2 จะดูดซับ UVB ได้ 50%
ค่า SPF เท่ากับ
4 จะดูดซับ UVB ได้ 75%
ค่า SPF เท่ากับ
8 จะดูดซับ UVB ได้ 87.5%
ค่า SPF เท่ากับ
15 จะดูดซับ UVB ได้ 93.3%
ค่า SPF เท่ากับ
20 จะดูดซับ UVB ได้ 95%
ค่า SPF เท่ากับ
30 จะดูดซับ UVB ได้ 96.7%
ค่า SPF เท่ากับ
45 จะดูดซับ UVB ได้ 97.8%
ค่า SPF เท่ากับ
50 จะดูดซับ UVB ได้ 98%
จะเห็นว่า ค่า SPF ที่สูงมาก ๆ
นั้นก็ไม่จำเป็นต่อความต้องการของเรา ไม่ว่าจะใช้ SPF30
หรือ SPF100 ก็ให้ผลแทบจะไม่แตกต่างกัน
แต่ถึงอย่างไรแล้ว เมื่อสารกันแดดสัมผัสเหงื่อ น้ำ แสงแดด ฯลฯ
สารกันแดดก็จะเสื่อมประสิทธิภาพลงทำให้เราต้องทาซ้ำ
แถมยังต้องเสี่ยงกับอาการแพ้และความเหนอะหนะจากสารกันแดดที่มีค่า SPF สูงมาก
ๆ อีกด้วย
มาทำความรู้จักกันต่อกับค่า PA หรือ Protection grade of UVA เป็นค่าการป้องกัน
UVA ริเริ่มโดยสมาคมอุตสาหกรรมเครื่องสำอางประเทศญี่ปุ่นในปี
ค.ศ. 2006 โดยมีประสิทธิภาพดังต่อไปนี้
PA+ หมายถึง มีประสิทธิภาพในการป้องกันรังสี UVA
เริ่มต้น
PA++ หมายถึง มีประสิทธิภาพในการป้องกันรังสี UVA
กลาง
PA+++ หมายถึง มีประสิทธิภาพในการป้องกันรังสี UVA
สูง
PA++++ หมายถึง มีประสิทธิภาพในการป้องกันรังสี UVA
สูงสุด
ภาพจาก: https://www.facebook.com/notes/1611878672358933
นอกจากค่า SPF กับ PA แล้ว
ต้องคำนึงถึงกิจกรรมที่เราจะทำด้วย ถ้าจะออกไปเล่นน้ำทะเลหรือทำกิจกรรมทางน้ำ
ควรเลือกสารกันแดดแบบ Waterproof ที่จะรักษาค่า SPF ไว้ให้คงประสิทธิภาพเดิมหลังโดนน้ำไป
80 นาที หากว่าเราแค่โดนฝนหรือเหงื่อออกตามปกตินั้น ให้เลือกสารกันแดดแบบ Water-resistant
ที่จะรักษาค่า SPF ไว้ให้คงประสิทธิภาพเดิมหลังโดนน้ำไป
40 นาที
และที่กล่าวมานี้ก็เป็นอีกเหตุผลหนึ่งที่ฉลากบนบรรจุภัณฑ์สารกันแดดบอกให้ผู้ใช้ทาซ้ำทุก
ๆ 2 ชั่วโมง
จากข้อมูลทั้งหมด หลาย ๆ คนคงตัดสินใจเลือกซื้อผลิตภัณฑ์กันแดดได้ง่ายขึ้น
อย่างไรก็ดี การเลือกผลิตภัณฑ์กันแดดควรเลือกให้เหมาะสมกับความจำเป็น สภาพผิว
รวมถึงสภาพอากาศและกิจกรรมที่เราจะทำด้วย เพื่อประสิทธิภาพที่เพียงพอต่อความจำเป็นทั้งตัวคุณและกระเป๋าเงินของคุณด้วยนั่นเองค่ะ
ที่มา: http://www.mfu.ac.th/school/anti-aging/admin/uploadCMS/research/pfWed125811.pdf
https://en.wikipedia.org/wiki/Sunscreen
เรียบเรียงโดย: ณัฐสุดา จันทร์พฤกษา
แหล่งอ้างอิง http://www.nsm.or.th
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น